ชีวิตเป็นเรื่องง่าย ๆ ในแบบ โจน จันได
"ชีวิตมันเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่เราทำให้มันยากเอง..." ท่ามกลางยุคแห่งทุนนิยมที่พรั่งพร้อมไปด้วยความทันสมัย ผสมปนเปกับความวุ่นวายทางการเมือง เราได้รู้จักกับนักปราชญ์ผู้ซึ่งใช้ชีวิตสวนกระแสกับสังคมสมัยใหม่อย่างสุดขั้ว หลายคนคงเคยได้ยินกิตติศัพท์ "ความบ้า" หรือวิถีชีวิตอันแปลกแยกของเขามาบ้าง แต่ในความแตกต่างนี้มีคนจำนวนไม่น้อยยกย่องเขาว่าเป็นอัจฉริยะด้านการใช้ชีวิตที่แท้จริง ....และนี่คือ "โจน จันได" โจน จันได หรือที่หลายคนรู้จักเขาในนาม "โจน บ้านดิน" คนจนผู้ยิ่งใหญ่จากรายการ เจาะใจ เมื่อหลายปีก่อน มาวันนี้ เขาคือผู้เชี่ยวชาญในการสร้างบ้านดินของประเทศไทย โจน จันได เป็นผู้ปลุกกระแสบ้านดินให้ฟีเวอร์ในปัจจุบัน เขาเดินทางไปรอบโลกเพื่อนำเสนอแนวทางในการสร้างบ้านดิน โดยเรียนรู้ชีวิตผ่านประสบการณ์ตรงนอกระบบการศึกษา จนแตกแขนงออกเป็นเครือข่ายคนสร้างบ้านดินในทุกวันนี้
เดิมที โจน จันได เกือบจะได้เป็นนักกฎหมาย เมื่อครั้งจากบ้านที่ยโสธรเข้ามาร่ำเรียนศาสตร์สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่กรุงเทพมหานคร เขาใช้ชีวิตอยู่วัด กินข้าววัด และทำงานพิเศษเพื่อหาเงินค่าเล่าเรียนเอง แต่แล้วลูกอีสานคนนี้ ก็ตัดสินใจทิ้งอนาคตนักกฎหมาย และลาสังคมเมืองที่หลายคนหลงใหล ด้วยเหตุว่าถามหาความสุขที่แท้จริงให้ชีวิตไม่เจอ !?!
"คนเราจำต้องไหลไปตามกระแสส่วนใหญ่ของสังคม จริงหรือ... ทั้งที่เราไม่ชอบ เราก็จำเป็นต้องแต่งตัว เที่ยว ตามเพื่อน ๆ เพื่อป้องกันคำครหานินทางั้นหรือ.."
"คนเราเรียนมาก ๆ แล้วจะทำงานดี ๆ ได้เงินเยอะ ๆ จริงหรือ แล้วการมีเงินเยอะมันคือเป้าหมายของชีวิตงั้นหรือ มีเงินเยอะทำให้มีความสุขจริงหรือเปล่า และการที่เราทำงานหนัก จะทำให้ลูกเมียเรามีความสุขจริงหรือ.."
โจน จันได ตัดสินใจไปใช้ชีวิตอยู่ในป่าที่จังหวัดเชียงใหม่ เขาอยู่โดยไร้ซึ่งความสะดวกความสบายทุกชนิด ไม่มีน้ำประปา ไม่มีไฟฟ้า มีแต่ตัวเองกับธรรมชาติ โดย โจน จันได อาศัยอยู่ภายใต้หลังคาบ้านดินที่เขาสร้างเองกับมือ โดย โจน จันได ปลูกบ้านจากดินเหนียวหลังแรกจากความคิด ผสมกับที่ได้เห็นภาพการทำ บ้านดิน ในหนังสือของฝรั่ง เมื่อบ้านดินหลังแรกสำเร็จ โจน จันได ก็ทำหลังต่อ ๆ มาให้กับชุมชนแถบนั้นโดยไม่เก็บเงิน โดย โจน จันได อยู่อย่างง่าย ๆ ปลูกผักปลูกข้าวกินเอง เขาไม่มีเงินเก็บ เพราะคิดว่าเงิน เก็บไว้ก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่ข้าวและพืชผักปลูกไว้แล้วเลี้ยงชีวิตได้ สบายใจกว่า...
"ผมเคยไปอยู่กรุงเทพฯ เจ็ดปีไม่เคยกินอิ่มเลย และถามตัวเองว่า ชีวิตเราทำงานให้ใคร ผมก็เลยกลับบ้านไปเป็นชาวบ้าน แต่ผมก็ไม่ได้อยู่อย่างชาวบ้าน เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ปลูกผักเพื่อขาย ยิ่งปลูกยิ่งไม่เหลืออะไร ทั้ง ๆ ที่ชีวิตเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่ทำไมคนส่วนใหญ่ทำให้ชีวิตซับซ้อน จนไม่มีเวลาคิดถึงตัวเอง คิดถึงแต่งาน งาน หาเงินและใช้เงิน ทำงานหนักขนาดนี้แล้วไม่พอกิน ก็ต้องคิดแล้ว" โจน จันได กล่าว
เดิมที โจน จันได เกือบจะได้เป็นนักกฎหมาย เมื่อครั้งจากบ้านที่ยโสธรเข้ามาร่ำเรียนศาสตร์สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่กรุงเทพมหานคร เขาใช้ชีวิตอยู่วัด กินข้าววัด และทำงานพิเศษเพื่อหาเงินค่าเล่าเรียนเอง แต่แล้วลูกอีสานคนนี้ ก็ตัดสินใจทิ้งอนาคตนักกฎหมาย และลาสังคมเมืองที่หลายคนหลงใหล ด้วยเหตุว่าถามหาความสุขที่แท้จริงให้ชีวิตไม่เจอ !?!
"คนเราจำต้องไหลไปตามกระแสส่วนใหญ่ของสังคม จริงหรือ... ทั้งที่เราไม่ชอบ เราก็จำเป็นต้องแต่งตัว เที่ยว ตามเพื่อน ๆ เพื่อป้องกันคำครหานินทางั้นหรือ.."
"คนเราเรียนมาก ๆ แล้วจะทำงานดี ๆ ได้เงินเยอะ ๆ จริงหรือ แล้วการมีเงินเยอะมันคือเป้าหมายของชีวิตงั้นหรือ มีเงินเยอะทำให้มีความสุขจริงหรือเปล่า และการที่เราทำงานหนัก จะทำให้ลูกเมียเรามีความสุขจริงหรือ.."
โจน จันได ตัดสินใจไปใช้ชีวิตอยู่ในป่าที่จังหวัดเชียงใหม่ เขาอยู่โดยไร้ซึ่งความสะดวกความสบายทุกชนิด ไม่มีน้ำประปา ไม่มีไฟฟ้า มีแต่ตัวเองกับธรรมชาติ โดย โจน จันได อาศัยอยู่ภายใต้หลังคาบ้านดินที่เขาสร้างเองกับมือ โดย โจน จันได ปลูกบ้านจากดินเหนียวหลังแรกจากความคิด ผสมกับที่ได้เห็นภาพการทำ บ้านดิน ในหนังสือของฝรั่ง เมื่อบ้านดินหลังแรกสำเร็จ โจน จันได ก็ทำหลังต่อ ๆ มาให้กับชุมชนแถบนั้นโดยไม่เก็บเงิน โดย โจน จันได อยู่อย่างง่าย ๆ ปลูกผักปลูกข้าวกินเอง เขาไม่มีเงินเก็บ เพราะคิดว่าเงิน เก็บไว้ก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่ข้าวและพืชผักปลูกไว้แล้วเลี้ยงชีวิตได้ สบายใจกว่า...
"ผมเคยไปอยู่กรุงเทพฯ เจ็ดปีไม่เคยกินอิ่มเลย และถามตัวเองว่า ชีวิตเราทำงานให้ใคร ผมก็เลยกลับบ้านไปเป็นชาวบ้าน แต่ผมก็ไม่ได้อยู่อย่างชาวบ้าน เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ปลูกผักเพื่อขาย ยิ่งปลูกยิ่งไม่เหลืออะไร ทั้ง ๆ ที่ชีวิตเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่ทำไมคนส่วนใหญ่ทำให้ชีวิตซับซ้อน จนไม่มีเวลาคิดถึงตัวเอง คิดถึงแต่งาน งาน หาเงินและใช้เงิน ทำงานหนักขนาดนี้แล้วไม่พอกิน ก็ต้องคิดแล้ว" โจน จันได กล่าว
พืชผัก ของ โจน จันได
ปัจจุบันนอกจากการอยู่กับธรรมชาติอย่างมีความสุขแล้ว โจน จันได ยังได้รับเชิญจากหลายหน่วยงานให้ไปสอนการปลูกบ้านดิน โดย โจน จันได ไม่คิดค่าใช้จ่ายสักบาท เพียงขอแต่ค่าเดินทาง เพราะอย่างที่บอกเขาไม่ใช่คนที่มีเงินมากนัก แต่กระนั้น หลังจากที่ทำงานบ้านดินมากว่า 10 ปี โจน จันได บอกว่าเขาได้ค้นพบอีกสิ่งหนึ่งที่อยากทำมาก ๆ ในตอนนี้
"ทำงานบ้านดินมา 10 ปี รู้สึกว่าเหนื่อย จึงอยากพัก บ้านดินทำเมื่อไหร่ก็ได้ แต่สิ่งที่อยากทำจริงๆ ในตอนนี้ คือการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พื้นบ้านแท้ ๆ มาเพาะปลูก การเก็บเมล็ดพันธุ์มีความสำคัญกว่าการทำบ้านดิน เพราะความรู้ในการทำบ้านดิน เรียนรู้ได้ง่าย ทำเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เมล็ดพันธุ์นับวันจะหายไปจากโลกทุกวัน การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ต้องรีบทำ ไม่อย่างนั้นจะหายไปจากโลก ต้องเร่งรีบเก็บรักษาไว้" โจน จันได กล่าว
ด้วยความคิดนี้ โจน จันได จึงจัดแจงหาซื้อที่ดินที่ใน อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ และลงมือปลูกพืชผัก ตั้งชื่อว่า "ไร่พันพรรณ" มีคนอาศัยและช่วยงานอยู่ 7-8 คน เป็นครอบครัวเล็ก ๆ เขามีลูกและภรรยาชาวอเมริกัน หญิงที่รักงานด้านเอ็นจีโอจากโคโลราโดเป็นคู่ชีวิต ที่ไร่ของ โจน จันได มักจะมีแขกแวะเวียนไปเยี่ยม ทั้งคนไทย ฝรั่ง ต่างผลัดเปลี่ยนกันมาเรียนรู้วิถีชีวิตแบบสมถะในแบบของเขา
"ฝรั่งที่มาเรียนรู้ บางคนเป็นสถาปนิก ผู้พิพากษา นักเขียน บางคนตกงานแต่สับสนในชีวิต ไม่ชอบวิถีชีวิตแบบเดิม ไม่รู้จะไปไหน หลายคนมาก็เปลี่ยนแปลงชีวิต แต่คนไทยมาฝึกฝนเรื่องเกษตรน้อย เพราะมองว่าการเกษตรเป็นเรื่องต่ำต้อย คนที่มาเป็นชนชั้นกลาง ไม่ใช่ชาวนาหรือเกษตรกร การเป็นเกษตรกรทำให้ผมมีเวลา ทำอะไรก็ได้อย่างอิสระ ผมจะไม่กลับไปทำงานแบบเดิม ตอนนี้ผมพอใจกับสิ่งที่ได้ประสบในชีวิตแล้ว และก็จะใช้ชีวิตที่เหลือให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ไม่มีอะไรให้กังวล" โจน จันได เล่า